สุดยอดอาหารต้านมะเร็ง ตอนที่ 2

มะเขือเทศต้านมะเร็ง

ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเพราะไลโคพีน (เม็ดสีที่ให้มะเขือเทศมีสีแดง) หรือเป็นเพราะอย่างอื่น แต่มีงานวิจัยบางชิ้นที่ทำให้เกิดการเชิ่อมโยงว่าการทานมะเขือเทศ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งหลายชนิด การศึกษายังชี้ให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์มะเขือเทศแปรรูป เช่น น้ำผลไม้ ซอส หรือแบบเพสต์จะช่วยเพิ่มศักยภาพของมะเขือเทศในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง

ศักยภาพต้านมะเร็งของชา

แม้ว่าหลักฐานจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาเขียวอาจเป็นนักสู้มะเร็งที่แข็งแกร่ง ในการศึกษาในห้องปฏิบัติการ ชาเขียวชะลอหรือป้องกันการพัฒนาของมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ตับ เต้านม และเซลล์ต่อมลูกหมาก นอกจากนี้ยังมีผลคล้ายกันในเนื้อเยื่อปอดและผิวหนัง และในการศึกษาระยะยาวชามีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงในการเป็นเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร และตับอ่อน แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีการวิจัยในมนุษย์มากขึ้นก่อนที่ชาจะได้รับการแนะนำให้เป็นนักสู้โรคมะเร็ง

องุ่นและมะเร็ง

องุ่นและน้ำองุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งองุ่นม่วงและแดงมีสาร Resveratrol โดย Resveratrol มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่ดีมาก ในการศึกษาในห้องปฏิบัติการมันได้ป้องกันความเสียหายที่สามารถก่อให้เกิดกระบวนการมะเร็งในเซลล์ แต่ก็ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะบอกว่าการรับประทานองุ่น หรือดื่มน้ำองุ่น หรือไวน์ (หรือการทานอาหารเสริม) สามารถป้องกันหรือรักษาโรคมะเร็งได้

การจำกัดแอลกอฮอล์เพื่อลดความเสี่ยงมะเร็ง

โรคมะเร็งจากปาก, คอ, กล่องเสียง, หลอดอาหาร, ตับ และเต้านม ล้วนเชื่อมโยงกับการดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก สมาคมโรคมะเร็งอเมริกันแนะนำให้ จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกิน 2 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชายและ 1 แก้ว สำหรับผู้หญิง ผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมอาจต้องการพูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอล์ เพื่อหาปริมาณที่ปลอดภัยและเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงส่วนตัวของพวกเขา

น้ำและของเหลวอื่น ๆ สามารถช่วยป้องกันได้

น้ำไม่เพียงช่วยดับกระหาย แต่ยังช่วยป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ความเสี่ยงที่ลดลงนั้นมาจากการเจือจางความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้การดื่มของเหลวมากขึ้นทำให้คุณปัสสาวะบ่อยขึ้น มันจะช่วยลดระยะเวลาที่สารเหล่านั้นสัมผัสกับเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะของคุณได้

Credit: www.webmd.com