เราจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายขาดวิตามิน D ???

วิตามินดีคืออะไร?

ร่างกายของเราใช้วิตามิน D ในการดูดซึมแร่ธาตุ เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส ที่จะทำให้ฟันและกระดูกของเราแข็งแรง วิตามิน D ยังมีประโยชน์ในการบำรุงกล้ามเนื้อ เส้นประสาท และระบบภูมิคุ้มกัน โดยร่างกายของเราได้รับวิตามิน D จากแสงแดดผ่านทางผิวหนัง จากการรับประทานไข่ ปลาที่มีไขมัน และอาหารเสริม เช่น นมและซีเรียล

ทำไมคุณถึงต้องการวิตามินดีมากขึ้น?

อาจเป็นเพราะร่างกายของคุณ

  • ไม่ได้รับแสงแดดเพียงพอ
  • ไม่ทานอาหารให้เพียงพอ โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นมังสวิรัติ หรือ ทานนมไม่ได้
  • ไม่สามารถดูดซึมวิตามินดีได้ดีเท่าที่ควร หรือไม่ก็กำจัดออกเร็วเกินไป

คนผิวสีในสหรัฐอเมริกามักมีระดับวิตามินดีต่ำกว่าคนผิวขาว เนื่องจากผิวคล้ำมีสารป้องกันแสงแดดตามธรรมชาติและต้องได้รับแสงแดดนานขึ้นเพื่อสร้างวิตามิน

อะไรที่บ่งบอกว่าร่างกายอาจขาดวิตามิน D หรือสาเหตุของการขาด

  • การหายของบาดแผลช้า

ในผู้ที่มีวิตามินดีในระดับต่ำ ดูเหมือนว่าบาดแผลจะหายช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีแผลไฟไหม้ ยังคงมีการวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อดูว่าการเสริมวิตามินดีสามารถช่วยให้ผู้คนฟื้นตัวเร็วขึ้นจากแผลไฟไหม้และบาดแผลอื่นๆ ได้หรือไม่

  • โรคกระดูกพรุน

ส่งผลกระทบต่อผู้หญิง 1 ใน 3 ที่มีอายุระหว่าง 60 ถึง 70 ปี และ 2 ใน 3 ของผู้หญิงอายุ 80 ปีขึ้นไป ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสาเหตุ แต่เป็นเพราะว่า วิตามินดีไม่เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายนำแร่ธาตุที่จำเป็นไปใช้เพื่อรักษากระดูกให้แข็งแรงได้

ในโรคกระดูกพรุน นี่หมายถึงช่องว่างที่ใหญ่ชึ้นตามธรรมชาติในเนื้อกระดูกของคุณ พวกมันจะกลายเป็ฯ “รูพรุน” มากขึ้นซึ่งทำกระดูกเปราะบางมากขึ้น และง่ายที่จะหัก

  • ปวดกล้ามเนื้อ

ผู้ที่มีอาการปวดและอ่อนแรงในกล้ามเนื้อและกระดูกนั้นมักได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอ ในผู้สูงอายุโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มี กล้ามเนื้ออ่อนแอ มีโอกาสอย่างยิ่งที่จะล้มและกระดูกหักได้ง่ายขึ้จ นอกจากนี้มันยังอาจเป็นสัญญาณของโรคกระดูกพรุน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หากคุณสังเกตเห็นอาการปวด เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือน โดยที่มันสามารถหายไปได้ด้วยอาหารเสริมวิตามินดี หรือการเปลี่ยนแปลงอาหารหรือวิถีชีวิต

  • คนอ้วน

หากคุณมีดัชนีมวลกาย 30 หรือมากกว่า (หมายความว่าคุณเป็นโรคอ้วน) ระดับวิตามินดีของคุณมักจะต่ำกว่าคนที่ไม่อ้วน มันไม่ใช่ว่าผิวของคุณสร้างวิตามินดีได้น้อยลง แต่เพราะว่าไขมันส่วนเกินที่อยู่ใต้ผิวหนังของคุณจะเก็บสะสมไว้มากขึ้นและเปลี่ยนวิธีที่มันจะเข้าสู่กระแสเลือดของคุณ แต่การรับประทานอาหาร การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และอาหารเสริมสามารถช่วยได้

Credit: www.webmd.com